← กลับไปหน้าฐานข้อมูล

ฐานข้อมูลนำเสนอเบื้องต้น (Profile)

ชุมชนพิทักษ์ป่า บ้านแม่สาน้อย จ เชียงใหม่

ภาพประกอบ

เกี่ยวกับโครงการ

Highlights

  • “บ้านแม่สาน้อย” เป็นชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่มีบทบาทนำในการฟื้นฟูผืนป่าที่เคยเสื่อมโทรม กว่า 2,640 ไร่ ให้กลับมาเขียวชอุ่มในระยะเวลากว่า 30 ปี ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันทำแนวกันไฟธรรมชาติ การลาดตระเวนเฝ้าระวังไฟป่า และวางกฎกติกาชุมชน ซึ่งไม่เพียงช่วยลด PM2.5 แต่ยังส่งผลต่อการฟื้นฟูระบบนิเวศให้อากาศ น้ำที่สะอาด ที่ให้ประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชุมชนที่อยู่ต้นน้ำและคนเมืองเชียงใหม่ที่เป็นชุมชนปลายน้ำ
  • ภายใต้การสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาควิชาการ ชุมชนได้ร่วมกับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการฟื้นฟูป่าและประเมินผลการกักเก็บคาร์บอนของป่าที่ได้ร่วมกันฟื้นฟูขึ้นมา โดยวัดผลการกักเก็บคาร์บอนได้ 19.05 – 24.72 ตัน/ไร่ ตลอดจนได้พบว่าพื้นที่นี้กลับมามีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชเพิ่มขึ้นกว่า 100 ชนิด และเห็นการกลับมาของสัตว์นานาชนิดในพื้นที่นี้
  • นอกจากงานอนุรักษ์ ชุมชนยังมีแนวคิดในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ธรรมชาติ และการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนเพื่อการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การบริการที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การผลิตและขายผลิตภัณฑ์จากผ้าใยกัญชง ที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง
  • การสนับสนุนการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมด้วยพันธุ์ไม้ท้องถิ่น เพื่อลดเชื้อเพลิงสะสมในพื้นที่สูง ลด PM2.5 รวมถึงการการส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน และการพัฒนาอาชีพใหม่ให้คนรุ่นใหม่ในชุมชนล้วนสอดคล้องกับแนวทางของผลตอบแทนเชิงสังคม (Social Return on Investment
  • SROI), Environment, Social, และ Governance (ESG) และการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs เช่น Climate Action (SDG13), Biodiversity (SDG15), Economic Inclusion (SDG8), Peace, Justice and Governance through community ownership (SDG 16)

ข้อมูลพื้นฐาน

หมู่บ้านแม่สาน้อยเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย พื้นที่ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาความสูงมากกว่า 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลแห่งนี้ถูกรายล้อมไปด้วยผืนป่าดิบเขาที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งผืนป่าธรรมชาติที่อนุรักษ์สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และผืนป่าฟื้นฟูซึ่งคนในชุมชนบ้านแม่สาน้อยและบ้านแม่สาใหม่ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า (FORRU) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมจนกลับมาเป็นป่าที่สมบูรณ์อีกครั้งตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันคนในชุมชนบ้านแม่สาน้อยยังคงช่วยกันดูแลรักษาพื้นที่ป่าของชุมชนมากกว่า 2,640 ไร่ โดยการจัดทำแนวกันไฟและเวรยามเฝ้าระวังไฟป่าทุกปี รวมถึงการตั้งกฎกติกาของชุมชนเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดลักลอบบุกรุกและทำลายพื้นที่ป่า นับว่าเป็นชุมชนหนึ่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้สมบูรณ์ที่สุดจากการที่คนในชุมชนร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และเพื่อให้การฟื้นฟูดูแลผืนป่าเกิดความยั่งยืน กลุ่มแกนนำชุมชนจึงมีแนวคิดในการพัฒนาหมู่บ้านโดยบูรณาการทั้งแผนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมทางด้านอาชีพและรายได้ให้คนในชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงความต้องการแก้ไขปัญหาหมอกควันพิษ PM2.5 ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนทั้งจังหวัดเชียงใหม่

ปัญหาที่เกิดขึ้น

1. ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน PM2.5

ในอดีตคนในชุมชนบ้านแม่สาน้อยประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ทั้งการเพาะปลูกข้าวและข้าวโพด และการเลี้ยงสัตว์ นับตั้งแต่การประกาศใช้กฎหมายพื้นที่อุทยานและมีการทวงคืนพื้นที่บางส่วนเพื่อการฟื้นฟูป่า ทำให้พื้นที่ทำกินของชาวบ้านลดลง แม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะเข้าใจ เห็นความสำคัญของพื้นที่ป่าที่ทำให้ชุมชนมีน้ำใช้ และหันมาให้ความร่วมมือในการฟื้นฟูป่าร่วมกับหน่วยวิจัยฯ แต่ยังคงมีชาวบ้านบางส่วนที่ต้องหารายได้จากการเก็บของป่าซึ่งบางคนจะใช้วิธีเผาป่าเพื่อเก็บผลผลิตจากป่าช่วงต้นฤดูฝนไปขาย เผาป่าเพื่อล่าสัตว์ แม้กระทั่งการเผาเพื่อกลั่นแกล้ง หรือเผาไร่เกษตรแล้วเกิดการลุกลาม สาเหตุเหล่านี้นำมาสู่ปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ดอยสุเทพทุกปีตามมาด้วยระดับหมอกควัน PM2.5 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของคนจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงความเสี่ยงที่ชาวบ้านต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปดับไฟป่า

2. ปัญหาเรื่องการสร้างความเข้าใจกับคนในชุมชนและการกระจายรายได้

ในช่วงเวลาหลายปีที่มีการคืนพื้นที่และเริ่มฟื้นฟูป่า แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเห็นความสำคัญและให้ความร่วมมือ แต่ยังมีคนในชุมชนบางกลุ่มโดยเฉพาะคนที่เสียพื้นที่ทำกินเกิดความไม่เข้าใจถึงทิศทางและเป้าหมายในการอนุรักษ์ทรัพยากรของชุมชน รวมถึงแนวทางที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะเรื่องการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับคนในชุมชน ทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือจากคนบางส่วนในการช่วยกันฟื้นฟูดูแลทรัพยากรของหมู่บ้านและเกิดการละเมิดกฎกติกาของชุมชนทำให้มีปัญหาตามมาโดยเฉพาะเรื่องการเผาป่า ประกอบกับที่ผ่านมากลุ่มแกนนำชุมชนได้มีความพยายามที่จะพัฒนาหมู่บ้านให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืนแต่ยังขาดความช่วยเหลือในด้านการจัดทำแผนโดยมีโจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้ทุกคนในชุมชนได้มีส่วนร่วมและมีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม

พันธกิจ/วัตถุประสงค์ของโครงการ

  1. พัฒนากลไกการลงขันร่วมจ่าย-ร่วมลงทุนเพื่อตอบแทนนิเวศบริการของป่า เช่น น้ำ-อากาศสะอาด การกักเก็บคาร์บอน การป้องกันน้ำท่วม-โคลนถล่ม และประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ
  2. ผู้ได้ประโยชน์เข้าร่วมสนับสนุนกิจกรรมฟื้นฟูป่าของชุมชนผู้พิทักษ์ป่าให้สามารถดูแลรักษาและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
  3. สามารถวัดผลลัพธ์นิเวศบริการผ่านตัวชี้วัดสำคัญได้อย่างเป็นระบบ เช่น การลดจำนวนพื้นที่เผาไหม้, forest-cover, ความหลากหลายทางชีวภาพ,
  4. การกักเก็บคาร์บอน

รายละเอียดโครงการ

กิจกรรมที่เกิดขึ้น

1. การจัดกระบวนการทำแผนภูมินิเวศ สิทธิ และเศรษฐกิจร่วมกับชุมชน

The Next Forest องค์กรซึ่งเป็นที่ปรึกษา ดำเนินการ รวมถึงวัดผลการปลูกและฟื้นฟูป่าด้วยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่มุ่งฟื้นฟูป่าอย่างยั่งยืน ได้หารือร่วมกับชุมชนในการทำแผนประเด็นเรื่องการจัดการไฟในพื้นที่ป่า และการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่สอดคล้องกับแนวทางการอนุรักษ์ป่า เช่น การฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม การทำเกษตรแนวใหม่เพื่อลดการใช้พื้นที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว และการทำท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของชุมชนร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อพัฒนาพื้นที่สำหรับเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ The Next Forest ยังได้จัดทำแผนร่วมกับชุมชนในการฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ โดยในเบื้องต้นได้กำหนดพื้นที่ปลูกตามเขตแนวกันไฟบางช่วง ซึ่งคนในชุมชนต้องการให้มีการเข้าไปดูแลต้นไม้ที่ปลูกถือเป็นการดูแลป้องกันไฟไปพร้อมกัน ร่วมกับการคัดเลือกชนิดพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่มีคุณสมบัติในการทนไฟได้ในระดับหนึ่ง เป็นการสร้างแนวกันไฟธรรมชาติป้องกันป่าผืนใหญ่ที่ชุมชนช่วยกันดูแล

2. การรักษาพื้นที่ป่า

ชุมชนได้ร่วมกันทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลามของไฟเข้าไปยังพื้นที่ป่าที่ชุมชนดูแล อีกทั้งยังมีแผนการลาดตระเวนยามไฟตลอดช่วงฤดูแล้ง (กุมภาพันธ์-พฤษภาคม) ทั้งนี้เพื่อช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าและลดปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วย โดยชุมชนได้ดำเนินการทำแนวกันไฟแล้วเสร็จในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 และเนื่องจากกระบวนการฟื้นฟูป่าโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก สำหรับบ้านแม่สาน้อยระยะนี้ ที่ต้องการการฟื้นฟูป่าอย่างเร่งด่วน ชุมชนจึงวางแผนฟื้นฟูแนวป่าสนเสื่อมโทรมซึ่งเกิดจากการไหม้จนเสื่อมโทรมแล้วด้วยการปลูกไม้ถิ่น เช่น ต้นกอ และต้นไม้ท้องถิ่นอื่นๆ บนแนวกันไฟเดิมของชุมชน เพื่อสร้างเป็นแนวกันไฟธรรมชาติและป้องกันไฟรุกลามเข้ามา

3. การพัฒนาเศรษฐกิจ

ชุมชนได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้จากความพิเศษของชุมชนที่สามารถฟื้นฟูป่าหลายพันไร่ได้สำเร็จในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นการเรียนรู้เรื่องธรรมชาติและการฟื้นฟูป่า ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักท่องเที่ยวทั่วไปที่มีความสนใจเรื่องธรรมชาติ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา หน่วยงาน และองค์กรที่สนใจเรื่องการฟื้นฟูป่าโดยเฉพาะ และได้ร่วมกับ Local Alike ธุรกิจเพื่อสังคมที่ส่องเสริมการทำท่องเที่ยวชุมชนมาช่วยในการวางแผนพัฒนาและการจัดการด้านการท่องเที่ยว รวมถึง The Next Forest ที่จะช่วยพัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งชุมชนตั้งเป้าหมายที่จะแบ่งรายได้อย่างน้อย 10% ของยอดขายมาเข้ากองทุนจัดการไฟป่าและสิ่งแวดล้อมของชุมชน

ผลกระทบที่เกิดขึ้น (ด้าน ecological และสังคม)

จากการดำเนินโครงการ PES ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุน BKIND ธนาคารกรุงเทพ ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ในการส่งเสริมกิจกรรมดูแลรักษาผืนป่าของคนในชุมชนบ้านแม่สาน้อย และได้มีการวัดผลกระทบทางด้านนิเวศที่เกิดขึ้นหรือการติดตามผลนิเวศบริการจากพื้นที่ป่าที่ชุมชนช่วยกันดูแลรักษา ซึ่งทำการวัดและประเมินผลโดยหน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้

1) การปกคลุมของพื้นที่ป่า (Forest cover)

ในการดูแลรักษาพื้นที่ป่าของชุมชนมีทั้งการจัดทำแนวกันไฟรอบพื้นที่ป่า การลาดตระเวนยามไฟเพื่อเฝ้าระวังการเกิดไฟในพื้นที่ป่า และการเตรียมการเพื่อดับไฟ โดยหลังจากสิ้นสุดฤดูแล้งที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟสูง (ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน) ได้มีการใช้โดรนในการติดตามผลการปกคลุมของพื้นที่ป่าและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกไฟลุกลาม พบว่ามีพื้นที่ป่าที่ถูกเผาไหม้เพียง 3 ไร่บริเวณรอบนอกของเขตแนวกันไฟใหญ่และชาวบ้านสามารถเข้าไปดับไฟได้ทันก่อนที่จะลุกลามเข้ามาภายในเขตแนวกันไฟใหญ่ ทำให้ชาวบ้านสามารถดูแลรักษาพื้นที่ป่าผืนใหญ่ภายในเขตแนวกันไฟ 2,640 ไร่ไว้ได้

ภาพประกอบ

2) การกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่ป่า (Carbon accumulation)

ผืนป่ากว่า 2,640 ไร่ที่ชุมชนบ้านแม่สาน้อยช่วยกันดูแลรักษานั้น ส่วนใหญ่เป็นผืนป่าที่ได้รับการฟื้นฟูจากอดีตที่ถูกแผ้วถางเป็นเขาหัวโล้น ซึ่งหลังจากความพยายามในการฟื้นฟูระบบนิเวศและพื้นที่ป่าให้กลับคืนมาตลอดระยะเวลา 30 ปี ทำให้สามารถประเมินนิเวศบริการด้านการควบคุมสภาพภูมิอากาศจากความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่ป่า โดยจากการวัดผลพบว่าป่าผืนนี้ช่วยกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ได้มากถึง 19.05 – 24.72 ตันคาร์บอน/ไร่ (จากการวัดผลในแปลงป่าฟื้นฟูอายุ 12-24 ปี)

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

3) ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ของพืชและสัตว์ ความหลากหลายของพืช (Plant diversity)

จากการสำรวจข้อมูลชนิดพันธุ์ไม้ในพื้นที่ป่าแห่งนี้ พบว่ามีความหลากหลายมากถึง 102 ชนิด ทั้งในพื้นที่ป่าธรรมชาติเดิมและป่าฟื้นฟู

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

ความหลากหลายของสัตว์ (Animal diversity)

มีการเก็บข้อมูลความหลากหลายของนก (จากการสำรวจโดยผู้เชี่ยวชาญ) และความหลากหลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (จากการใช้เทคโนโลยี camera trap) พบว่าในพื้นที่ป่ามีความหลากหลายของชนิดนกมากถึง 72 สายพันธุ์ และพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 10 ชนิด

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

ความสำเร็จที่ผ่านมา

ในอดีตพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกแผ้วถางเพื่อปลูกฝิ่น และทำไร่กะหล่ำปลีและมันสำปะหลังจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้น ต่อมาในปี 2543 ชุมชนได้ร่วมมือกับอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และหน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า (FORRU) สังกัดภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการฟื้นคืนผืนป่าโดยใช้เทคนิคการฟื้นฟูด้วยพรรณไม้โครงสร้าง (Framework Species Method) เพื่อเร่งการฟื้นตัวของระบบนิเวศป่าได้อย่างรวดเร็วและทำให้ได้พื้นที่ที่มีโครงสร้างหลากหลายใกล้เคียงกับป่าธรรมาชาติกลับมาและเกิดพื้นที่ป่าสมบูรณ์รอบหมู่บ้าน บ้านแม่สาน้อยจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการฟื้นฟูป่ากว่า 800 ไร่ จากภูเขาหัวโล้นจนกลายเป็นป่าสมบูรณ์ในปัจจุบันและเป็นพื้นที่ที่สนใจการดูแลป่าอย่างแท้จริง

ผู้สนับสนุนในอดีตจนถึงปัจจุบัน

กองทุนรวม BKIND ภายใต้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด, บริษัท จึงพัฒนา โฮลดิ้ง จำกัด

แผนการดำเนินงานในระยะต่อไป/สิ่งที่ต้องการสนับสนุน

1) การฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม

เนื่องจากในปัจจุบันในเขตพื้นที่ป่าผืนใหญ่ที่ชุมชนร่วมกันดูแลนั้น ยังมีพื้นที่ที่เป็นป่าเสื่อมโทรมจากการถูกไฟลุกลามเข้ามาหลายครั้ง ทำให้พื้นที่มีไม้ยืนต้นขึ้นอยู่ประปรายและเต็มไปด้วยวัชพืชซึ่งเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่ดี ชุมชนจึงมีความต้องการที่จะฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมเหล่านี้ให้กลับมาเป็นป่าดิบเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีความชื้น และลดความเสี่ยงในการเกิดไฟในช่วงฤดูแล้ง

2) การสนับสนุนด้านการตลาดของผลิตผลทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน

ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการก่อตั้งวิสาหกิจการเกษตร รวมถึงกลุ่มวิสาหกิจผลิตภัณฑ์จากผ้าใยกัญชง ซึ่งชุมชนต้องการการสนับสนุนด้านการตลาดเพื่อให้สามารถวางแผนการจัดการและจำหน่ายสินค้าที่ชุมชนผลิตขึ้นมาได้

3) การสร้างเสริมอาชีพให้คนรุ่นใหม่ในชุมชน

เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ทำกินของคนในชุมชนมีค่อนข้างจำกัดและไม่สามารถขยายพื้นที่ทำกินออกไปได้อีก ดังนั้นคนในชุมชนจึงต้องการการสนับสนุนด้านการสร้างเสริมอาชีพให้กับเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ที่หลังจากจบการศึกษาแล้วจะกลับมาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพอยู่ในหมู่บ้านต่อไป