← กลับไปหน้าฐานข้อมูล

ฐานข้อมูลนำเสนอเบื้องต้น (Profile)

บ้านทะเลนอก อ.สิงหนคร จ.สงขลา

ภาพประกอบ

เกี่ยวกับโครงการ

ข้อมูลพื้นฐาน

บ้านทะเลนอก ตั้งอยู่ในอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นชุมชนไทยมุสลิมขนาดเล็กที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2510 พื้นที่บริเวณนี้มีความสำคัญในเชิงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะ “คลองคูเมือง” ซึ่งเป็นคลองสายประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย เริ่มจากบริเวณทวดหัวเขาแดงไปจนถึงบริเวณสุสานสุลต่านสุลัยมาน (หรือ “โต๊ะหุม” ตามคำเรียกของชาวมุสลิม และ “ทวดหุม” ในหมู่ชาวพุทธ) รวมระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร มีความกว้างเฉลี่ยประมาณ 15 เมตร และลึก 2–3 เมตร คลองคูเมืองในอดีตเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ปลาหลากหลายจากทะเลอ่าวไทย เช่น ปลาโคบและปลาแมว รวมถึงมีระบบนิเวศที่ประกอบด้วยต้นไม้ชายฝั่ง เช่น ต้นสน มะพร้าว และลำเจียก ตลอดจนหาดทรายขาวสะอาดที่เป็นจุดเด่นของพื้นที่ ชุมชนในยุคนั้นมีบ้านเรือนประมาณ 10 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิมที่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน โดยใช้เรือมาดเป็นพาหนะหลักในการเดินทางทางน้ำ ในด้านวัฒนธรรม ชาวบ้านใช้คลองคูเมืองเป็นศูนย์กลางของวิถีชีวิต เช่น การสัญจร การประมง และการจัดกิจกรรมทางสังคม โดยมีประเพณีสำคัญในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี คือ ประเพณีทำบุญคลองคูเมือง ซึ่งเป็นงานร่วมระหว่างชาวมุสลิมในพื้นที่บ้านทะเลนอก ชาวพุทธจากตัวเมืองสงขลา (บ่อยาง) และชุมชนใกล้เคียง ภายในงานมีการละเล่นพื้นบ้าน เช่น แข่งเรือพาย ชักคะเย่อ และการประกวดนางงามคลองคูเมือง สะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างชุมชนไทยมุสลิมและไทยพุทธในอดีต ทั้งยังเป็นประจักษ์พยานถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนานของชุมชนบ้านทะเลนอกอีกด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้น

  1. ประสบกับข้อจำกัดในการผลักดันให้พื้นที่ดังกล่าวได้รับการประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ตามกฎหมาย เนื่องจากอยู่ในเขตการใช้งานของกิจการเดินเรือเชิงพาณิชย์และความมั่นคง
  2. การขุดลอกร่องน้ำเพื่อให้มีความลึกไม่น้อยกว่า 8 เมตร ส่งผลให้ตะกอนดินเลนจากการขุดลอกถูกพัดพามาทับถมแนวปะการังบริเวณเกาะแมว ทำให้ระบบนิเวศทางทะเลเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง
  3. เกิดเหตุการณ์รั่วไหลของน้ำมันและสารเคมีจากกิจกรรมของภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชาวประมงในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงปลาในกระชัง แม้ว่าจะมีการชดเชยเยียวยาจากบริษัทผู้ก่อเหตุ แต่ความเสียหายต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมยังคงส่งผลในระยะยาวและไม่สามารถฟื้นฟูได้ในเวลาอันสั้น

พันธกิจ/วัตถุประสงค์ของโครงการ

เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ “เกาะหนู” ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กในทะเลสาบสงขลา โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้เสริมให้แก่ครอบครัวในชุมชน ควบคู่ไปกับการรักษาและสืบสานอาชีพประมงพื้นบ้าน ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความเข้มแข็งของเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

รายละเอียดโครงการ

ภาพประกอบ

กิจกรรมที่เกิดขึ้น

ชาวบ้านชุมชนบ้านทะเลนอก ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ได้รวมตัวกันจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนบ้านทะเลนอก” เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ในพื้นที่ “เกาะหนู” เกาะเล็ก ๆ ในทะเลสาบสงขลา โดยมีเป้าหมายในการสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว ควบคู่ไปกับการประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ซึ่งเป็นอาชีพหลักในพื้นที่ ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีเรือให้บริการนักท่องเที่ยวจำนวน 15 ลำ และดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยวในลักษณะ “ทริปสองเกาะ” ได้แก่ เกาะหนู และ เกาะแมว ซึ่งมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่โดดเด่น ได้แก่ หน้าผาหินธรรมชาติ “ผาชมพู” บนเกาะหนู จุดชมวิวแบบ 360 องศา ถ้ำมรกต และแนวปะการังน้ำตื้นบริเวณเกาะแมว ซึ่งมีทั้งปะการังใบ ปะการังสมอง และในบางช่วงฤดูกาลอาจพบโลมาปากขวดสีชมพู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศชายฝั่ง กิจกรรมเหล่านี้ดำเนินการโดยไกด์ท้องถิ่นที่เป็นชาวประมงในพื้นที่ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องร่องน้ำ และมีการอบรมด้านความปลอดภัย การบริการ และได้รับการขึ้นทะเบียนเรืออย่างถูกต้อง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนยังได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อรองรับการเติบโตและความยั่งยืนของการท่องเที่ยวชุมชนในระยะยาว พร้อมผนึกกำลังขับเคลื่อนต่อไปในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งในด้านเรือ ไกด์ และการรับมือเหตุฉุกเฉิน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Go-Green) โดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งชุมชน ผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว และภาคราชการ เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ

ผลกระทบที่เกิดขึ้น

  1. เกิดความตระหนักรู้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
  2. ชุมชนและนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับการดูแลทรัพยากรทางทะเล เช่น แนวปะการัง ถ้ำมรกต ผาชมพู และสัตว์ทะเลหายากอย่างโลมาปากขวดสีชมพู ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
  3. ลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรเกินขนาด
  4. การมีไกด์ท้องถิ่นที่เป็นชาวประมง ช่วยควบคุมและให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่จับสัตว์น้ำ ไม่เหยียบปะการัง และไม่ทิ้งขยะลงทะเล
  5. ส่งเสริมการฟื้นตัวของระบบนิเวศชายฝั่ง
  6. การจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวร่วมกับการอนุรักษ์ ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติบางส่วนเริ่มฟื้นตัว เช่น การกลับมาของปลาและสัตว์น้ำในพื้นที่
  7. เกิดแนวทางท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Go-Green)
  8. ชุมชนร่วมรณรงค์การลดขยะ งดใช้พลาสติก ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ และควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกินขีดความสามารถของระบบนิเวศ
  9. เสริมสร้างรายได้และอาชีพให้กับชุมชน
  10. ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เสริมจากการท่องเที่ยว เช่น ค่าบริการนำเที่ยว การขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และบริการอาหาร/เครื่องดื่ม
  11. เกิดการพัฒนาทักษะและศักยภาพของชาวบ้าน
  12. ชาวบ้านได้ผ่านการอบรมเรื่องความปลอดภัยทางเรือ การบริการนักท่องเที่ยว และการบริหารจัดการวิสาหกิจ ส่งผลให้เกิดการยกระดับมาตรฐานอาชีพ
  13. ส่งเสริมบทบาทของกลุ่มต่างๆ ในชุมชน
  14. กลุ่มสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรม เช่น ทำอาหาร การต้อนรับนักท่องเที่ยว การผลิตของที่ระลึก ฯลฯ
  15. สร้างความภาคภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของในพื้นที่
  16. การที่ชาวบ้านมีบทบาทในการจัดการการท่องเที่ยว ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเอง
  17. เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
  18. ชุมชน ภาครัฐ และภาคเอกชนทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้เป็นระบบและยั่งยืนในระยะยาว

ความสำเร็จที่ผ่านมา

บ้านทะเลนอกเป็นชุมชนประมงพื้นบ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งล้อมรอบด้วยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ประกอบด้วยท่าเรือน้ำลึกสงขลา ทางทิศตะวันออก และบริษัท ปตท.สผ. ทางทิศตะวันตก โดยมีทะเลหน้าบ้านที่ติดกับปากอ่าวและร่องน้ำทางเดินเรือ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทะเลอ่าวไทยกับทะเลสาบสงขลา กระแสน้ำที่ไหลเข้าออกพัดพาแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารของสัตว์น้ำวัยอ่อนหลากหลายชนิดเข้าสู่พื้นที่ ส่งผลให้ระบบนิเวศบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการอาศัย ขยายพันธุ์ และเจริญเติบโตของสัตว์น้ำจำนวนมากกว่า 70 ชนิด ชุมชนสามารถประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านได้อย่างยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องออกไปห่างจากฝั่ง ซึ่งช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เพียงพอในการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัว ทะเลมีความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด อาทิ ปลาทู ปลาแดง กุ้งหางแข็ง กุ้งแชบ๊วย และปูม้า โดยปลาทูเป็นชนิดที่จับได้ตลอดทั้งปี ส่วนสัตว์น้ำอื่น ๆ จะจับได้ตามฤดูกาลและเครื่องมือจับที่เหมาะสม อาชีพประมงพื้นบ้านจึงถือเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้สำคัญและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ส่งต่อมายังคนรุ่นหลังอย่างยั่งยืน และปัจจุบัยได้รวมตัวกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนบ้านทะเลนอกเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว ควบคู่ไปกับการประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ซึ่งเป็นอาชีพหลักในพื้นที่

ภาพประกอบ

ผู้สนับสนุนโครงการ

สมาคมรักษ์ทะเลไทย

แผนการดำเนินงานในระยะต่อไป/สิ่งที่ต้องการสนับสนุน

  1. จัดสร้างพื้นที่อนุรักษ์ทะเลหน้าบ้านแห่งใหม่ บริเวณด้านนอกเขื่อนหินกันคลื่น เนื้อที่ความยาว 1 กิโลเมตร ความกว้าง 500 เมตร (ดูรูปตามแผนที่การใช้ประโยชน์ทรัพยากร) โดยพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้กีดขวางร่องน้ำทางเดินเรือสินค้า เรือทหาร เป็นพื้นที่เหมาะสมในการอนุรักษ์เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน และสามารถผลักดันให้ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองที่ถูกกฎหมาย ( LMMA)
  2. การหนุนเสริมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เกาะหนู (ผาชมพู) เกาะแมว (ดำน้ำดูปะการัง) เป็นอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประมงพื้นบ้านอีกทางหนึ่ง
  3. ด้วยบริบทพื้นที่ความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ โดยเฉพาะ ปลาทูมีให้จับตลอดปี มีความชุกชุมมากตามช่วงฤดูกาล (แต่ทั้งนี้เมื่อจับปลาได้มาก แต่ราคาต่ำลง) การหนุนเสริมการจัดการผลผลิตประมงพื้นบ้าน เพื่อสร้างอาชีพรายได้ให้กับกลุ่มสตรีประมงในชุมชน ได้ผลิตอาหารทะเลที่มีคุณภาพ ทั้งสด และแปรรูปให้กับผู้บริโภค