← กลับไปหน้าฐานข้อมูล

ฐานข้อมูลนำเสนอเบื้องต้น (Profile)

ป่าชุมชนบ้านห้วยอีค่าง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่

ภาพประกอบ

เกี่ยวกับโครงการ

ข้อมูลพื้นฐาน

ป่าชุมชนบ้านห้วยอีค่าง ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ทั้งหมด 9,418.75 ไร่ อยู่ในระดับความสูงจากน้ำทะเลปานกลางประมาณ 600–1,000 เมตร ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับที่ราบขนาดเล็ก มีความลาดชันพอสมควร รายล้อมด้วยดอยสำคัญหลายแห่ง ได้แก่ ดอยกะโจ๊ะ ดอยม่อนยะ ดอยเต่อปอเหอ ดอยเดอะว่อ ดอยพระบาทปอกุเดพูโซวตู ดอยตะเกะย่าลู ดอยชนา และดอยช้างน้อย ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยสายเล็กๆ จำนวนมาก ที่ไหลรวมกันเป็นลำห้วยอีค่าง ก่อนจะไหลลงสู่ลำน้ำแม่เตียน และต่อเนื่องไปยังลำน้ำแม่วาง มีพื้นที่ป่าชุมชนได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมป่าไม้แล้ว จำนวน 5,937 ไร่ แบ่งออกเป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ 3,938 ไร่ และพื้นที่เพื่อการใช้ประโยชน์จำนวน 1,999 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา โดยสภาพป่าในพื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ประกอบด้วยป่าหลักหลายประเภท เช่น ป่าสนเขาผสมป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ซึ่งถือเป็นระบบนิเวศสำคัญที่มีบทบาทในการหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน ประชากรส่วนใหญ่ในหมู่บ้านห้วยอีค่างเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ภายในชุมชนมีการรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างกลุ่มอาชีพต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อพึ่งพาอาศัยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แสวงหาความรู้ และหาทางออกในการแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงเพื่อสร้างระบบทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยกลุ่มอาชีพสำคัญในหมู่บ้านมีทั้งหมด 5 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มเลี้ยงโคแม่พันธุ์ดี 2) กลุ่มปลูกกาแฟ 3) กลุ่มเลี้ยงหมู 4) กลุ่มสมาชิกโครงการหลวง และ 5) กลุ่มผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติ

ปัญหาที่เกิดขึ้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลายด้าน โดยในด้านสังคมและวัฒนธรรมนั้นพบว่า เด็กและเยาวชนในปัจจุบันไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของหมู่บ้านเนื่องจากติดโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งคนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ต้องการกลับมาใช้ชีวิตในชุมชน เพราะต้องไปทำงานในเมืองเพื่อใช้หนี้ กยศ. และยังไม่มีการรวมกลุ่มของคนหนุ่มสาว ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่กับผู้สูงอายุ รวมถึงการช่วยเหลือแบบดั้งเดิม เช่น การเอามื้อเอาวัน ก็ลดน้อยลง ส่วนในด้านทรัพยากรธรรมชาติ ชุมชนประสบปัญหาจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว ซึ่งทำให้ความหลากหลายของพืชพันธุ์ดั้งเดิมลดลง และยังต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอุณหภูมิที่สูงขึ้น ส่งผลให้ทรัพยากรในธรรมชาติเช่นเห็ดและผักหวานเริ่มหายากขึ้น สำหรับด้านเศรษฐกิจและการทำมาหากิน พบว่าชาวบ้านไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้เช่นเดิม และยังประสบปัญหาหนี้สินจากการกู้ยืมเงินเพื่อส่งลูกเรียนหรือทำเกษตรกรรม ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับปัญหาโรคพืชที่ทำให้ผลผลิตเสียหาย อีกทั้งยังต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น ด้านกลไกการทำงานของชุมชนเองก็มีปัญหาเช่นกัน โดยกรรมการบางคนไม่รู้หน้าที่หรือขาดศักยภาพในการทำงาน คนที่ลงมือทำงานก็เป็นกลุ่มเดิมซ้ำๆ และผู้นำชุมชนเองก็มีภาระงานมากเกินไป จนไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พันธกิจ/วัตถุประสงค์ของโครงการ

การดำเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมของชุมชน มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ดังนี้

  1. ด้านการป้องกันรักษาป่า
  2. ด้านการฟื้นฟูป่า
  3. ด้านการต่อยอดองค์ความรู้

รายละเอียดโครงการ

ภาพประกอบ

รูปภาพ : เชียงใหม่นิวส์

กิจกรรมที่เกิดขึ้น

  1. ด้านการป้องกันรักษาป่า เช่น การกันลาดตระเวนป้องกันการลักลอบการตัดไม้ในฤดูฝน และการเกิดไฟป่าในฤดูร้อน การทำแนวกันไฟ การตั้งคณะกรรมการ และกฎระเบียบในการใช้ประโยชน์ป่าชุมชนร่วมกัน
  2. ด้านการฟื้นฟูป่า เช่น การเพาะกล้าไม้แลกเปลี่ยนกันในชุมชน การปลูกป่า การทำฝายชะลอน้ำ การทำความสะอาดแหล่งต้นน้ำในชุมชน และ การปล่อยสัตว์น้ำ เป็นต้น
  3. ด้านการต่อยอด เช่น การถ่ายทอดภูมิปัญญาการใช้ประโยชน์พืชท้องถิ่นจากผู้รู้ สู่เยาวชนเด็กรุ่นใหม่ การแปรรูปพืชอาหาร พืชสมุนไพร และ พืชสีย้อมธรรมชาติ เป็นต้น

ภาพประกอบ

รูปภาพ : เชียงใหม่นิวส์

ผลกระทบที่เกิดขึ้น

  1. การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
  2. - ความเชื่อและพิธีกรรม เช่น “หลื่อป่า” ทำให้เกิดเขตหวงห้ามทางธรรมชาติ ส่งผลให้ป่าต้นน้ำและระบบนิเวศยังคงความอุดมสมบูรณ์ และช่วยรักษาสัตว์ป่าไม่ให้สูญพันธุ์
  3. การป้องกันและฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. - การลาดตระเวนป้องกันไฟป่า การทำแนวกันไฟ การปลูกป่า และการสร้างฝายชะลอน้ำ มีส่วนช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าให้สามารถรักษาความชุ่มชื้นและความหลากหลายของพันธุ์ไม้ในท้องถิ่นได้อย่างต่อเนื่อง
  5. การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
  6. - การออกกฎระเบียบร่วมกันในชุมชนและการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้การใช้ประโยชน์จากพืชป่าเป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศ
  7. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
  8. - กระบวนการมีส่วนร่วม เช่น การตั้งคณะกรรมการ การจัดกิจกรรมร่วมกัน ช่วยให้ชุมชนมีความสามัคคี มีความรับผิดชอบร่วมในการดูแลป่า และเกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น
  9. บทบาทผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความเสียสละ
  10. - ผู้นำชุมชนสามารถสื่อสารและสร้างความเข้าใจให้กับชาวบ้าน พร้อมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายภายนอกมาสนับสนุนการพัฒนา ทำให้ชุมชนมีความเชื่อมั่นในตนเองและได้รับการยอมรับจากภายนอก
  11. การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น
  12. - การแปรรูปผลผลิตจากพืชท้องถิ่น เช่น สมุนไพร ผัก ผลไม้ หรือผลิตภัณฑ์จากกาแฟ ส่งเสริมรายได้แก่ชุมชนควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากร
  13. การสนับสนุนจากเครือข่ายภายนอก
  14. - การทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายภายนอก ทั้งในด้านงบประมาณ อุปกรณ์ และองค์ความรู้ ช่วยส่งเสริมศักยภาพของชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิต

ภาพประกอบ

ความสำเร็จที่ผ่านมา

บ้านห้วยอีค่าง ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่มีรากเหง้าลึกซึ้งผูกพันกับธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิมมาอย่างยาวนาน ชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่พึ่งพาและอยู่ร่วมกับป่าอย่างกลมกลืน โดยใช้ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดและมีจิตสำนึกต่อการอนุรักษ์ หากพื้นที่ใดในป่ามีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ ชาวบ้านจะร่วมกันประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ และจัดพิธีกรรมที่เรียกว่า “หลื่อป่า” หรือพิธีไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อขอขมาและขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักษ์รักษาผืนป่าให้คงอยู่ และเป็นการย้ำเตือนให้คนในชุมชนเคารพกฎและไม่บุกรุกพื้นที่ดังกล่าว การสร้างจิตสำนึกในการดูแลป่ามิได้เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่ แต่ยังส่งต่อผ่าน นิทาน เรื่องเล่า และพิธีกรรม เช่น ประเพณีการนำรกเด็กแรกเกิดใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วผูกไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็น "เดปอ" หรือ "ขวัญ" ประจำตัวลูก ต้นไม้ต้นนั้นจะต้องได้รับการดูแลและห้ามตัดตลอดชีวิตของเด็กคนนั้น เรื่องเล่าเหล่านี้หล่อหลอมให้เด็กและเยาวชนเติบโตมาพร้อมกับความเข้าใจและเคารพในธรรมชาติ ความรู้และบทบาทในการดูแลชุมชนถูกส่งต่อผ่านเครือญาติและครอบครัวขยายที่มีความใกล้ชิดกัน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีสายเลือดเดียวกัน และยังเชื่อมั่นในระบบเครือญาติแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะ "สายแม่" ที่มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติเหล่านี้เอื้อต่อการช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างต่อเนื่อง และเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็งทั้งในยามปกติและยามเผชิญปัญหา ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านยังคงรักษาความเชื่อทางศาสนาและความเชื่อเรื่องผีและธรรมชาติไว้ควบคู่กันซุ่งยังคงปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันของชุมชนจนถึงปัจจุบัน และมีบทบาททั้งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรักษาความสัมพันธ์ในชุมชน ปัจจุบัน ชุมชนบ้านห้วยอีค่างได้พัฒนาไปอีกขั้นด้วยการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กรชุมชน มีการจัดตั้งกลุ่มอาชีพต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การแลกเปลี่ยนความรู้ การแก้ไขปัญหาร่วมกัน รวมถึงการจัดการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพ กลุ่มอาชีพเหล่านี้จึงไม่เพียงแค่สร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน แต่ยังเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจควบคู่กับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมไว้ได้อย่างลงตัว

ภาพประกอบ]![ภาพประกอบ

รูปภาพ : เชียงใหม่นิวส์

ผู้สนับสนุนโครงการ

สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.)

แผนการดำเนินงานในระยะต่อไป/สิ่งที่ต้องการสนับสนุน

1. ด้านการอนุรักษ์

1.1 ดำเนินพิธีบวชป่าในพื้นที่ป่าต้นน้ำ

1.2 อนุรักษ์พื้นที่ป่าเดปอ ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของชุมชน

1.3 จัดทำแนวกันไฟ เพื่อป้องกันไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง

1.4 กำหนดเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำและสัตว์ป่า

1.5 ใช้พิธีกรรม ความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ในการจัดการและดูแลพื้นที่ป่าอย่างเหมาะสม

2. ด้านการฟื้นฟูและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ

2.1 เพิ่มพันธุ์สัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ

2.2 ส่งเสริมการปลูกพืชผักพื้นถิ่นและสมุนไพรในเขตป่าชุมชน

2.3 ก่อสร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของพื้นที่ป่า

2.4 ฟื้นฟูพิธีกรรมขอฝนซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชุมชน

3. ด้านการพัฒนา

3.1 ปลูกต้นพญาเสือโคร่งริมถนน เพื่อเสริมทัศนียภาพและส่งเสริมการท่องเที่ยว

3.2 นำสมุนไพรจากป่ามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน

3.3 พัฒนาเส้นทางการเรียนรู้ และเส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่ป่าชุมชน

3.4 สร้างแทงค์เก็บน้ำฝน เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรองในการดับไฟป่า

3.5 จัดตั้งร้านกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในพื้นที่

4. ด้านการควบคุมดูแลพื้นที่

4.1 ปรับปรุงกฎระเบียบของชุมชนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

4.2 จัดสัดส่วนพื้นที่การใช้ประโยชน์ให้ชัดเจน ไม่ทับซ้อนกับพื้นที่อนุรักษ์ 4.3 มอบหมายให้คณะกรรมการป่าชุมชนรับหน้าที่ดูแลพื้นที่ และตรวจสอบผู้ที่กระทำผิดตามระเบียบของชุมชน

5. ด้านการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าอย่างยั่งยืน

5.1 จัดทำระบบประปาภูเขาเพื่อใช้ในครัวเรือน

5.2 ใช้ป่าเป็นแหล่งอาหารตามฤดูกาล เช่น เห็ด ผักป่า

5.3 ใช้ไม้จากป่าในกรณีจำเป็น เช่น สร้างบ้าน ทำรั้ว คอกสัตว์ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะของชุมชน

5.4 กำหนดพื้นที่สำหรับการเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว

5.5 ก่อสร้างฝายเพื่อสนับสนุนการเกษตร

5.6 นำส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ที่ให้สีธรรมชาติโดยเฉพาะเปลือกไม้ มาใช้ในการย้อมผ้าทอของชุมชน

ภาพประกอบ

รูปภาพ : เชียงใหม่นิวส์