สวบ สาบ สวบ สาบ สวบ สาบ
เสียงสาวเท้าย่ำกองใบไม้สักช่วงปลายเดือนเมษายนบนดอยสุเทพ พร้อมกับเสียงหอบเบา ๆ จากการยกเท้าปีนให้ทันตามชายผู้อยู่เบื้องหน้า ด้วยความชันที่ไม่น่าจะน้อยกว่า 40 องศา เดินไต่ขึ้นมาเพียง 200 เมตร ชายผิวเข้มด้านหน้าเราก็หันกลับมาถามยิ้ม ๆ ว่า “ไหวไหมครับ ปกติผมก็ใช้ทางนี้ขี่มอเตอร์ไซค์วิบากขึ้นมาดับไฟ” พ่อหลวงแจ้-ประพันธ์ วิชัยคำ ผู้ใหญ่บ้านปงเหนือ ตำบลบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พูดอย่างภาคภูมิใจ ระหว่างพาคณะสำรวจอาณาเขตแนวกันไฟที่ดูโล่งตา พลางชี้ให้ดูนอกเขตแนวกันไฟอีกฝั่งที่มีกองใบไม้ทับถมสูงชนิดที่ว่าเท้าจมมิดแน่นอน
ใบไม้แห้งจากต้นสักที่ใบใหญ่กว่าหน้าคน ในอดีตชาวล้านนามักเก็บอย่างดีเอาไปมุงหลังคา แต่ ณ เวลานี้ร่วงโรยปะปนกับใบไม้อีกสารพัดชนิด
ใบไม้ร่วงที่ควรกลายเป็นปุ๋ยตามทฤษฎี กลับกลายเป็น ‘เชื้อเพลิงชั้นดี’ ในหน้าแล้ง สัมผัสสะเก็ดไฟเพียงนิดเดียว ลุกลามเป็นไฟป่าพ่นควันปกคลุมทั่วเชียงใหม่
ฤดูแล้ง พ.ศ. 2568 ในภาคเหนือของประเทศไทยผ่านพ้นไปแล้ว แต่กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละปี คนในเมืองลุ้นจนแสบจมูก ส่วนคนบนดอยเหนื่อยยิ่งกว่า เพราะหากไฟมา ทั้งบ้านและที่ทำกินอาจตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต
‘ดอยสุเทพไฟไหม้ทุกปี’ นี่คือความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยจุดความร้อนจากดาวเทียม เป็นไฟไหม้ที่เกิดในป่าถึง 90 เปอร์เซ็นต์ส่วนที่เหลือมาจากการเผาทางการเกษตร
ความจริงที่สะเทือนใจยิ่งกว่า คือไฟป่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ 100 เปอร์เซ็นต์
เพลิงแค้นไฟริษยา
แม้ชื่อจะฟังดูเหมือนละครหลังข่าว แต่นี่คือหนึ่งในแรงจูงใจของมือจุดไฟ บ้างมีความแค้นกับเจ้าหน้าที่อุทยาน บ้างดันไปทะเลาะกับคนต่างหมู่บ้าน มือมืดเหล่านี้ใช้วิธีแก้แค้นด้วยการจุดไฟเผาป่า เพราะรู้ดีว่าทางการกำลังเข้มงวดกับเรื่องฝุ่น PM 2.5 ทำให้คนที่ถูกกล่าวหาโดนเล่นงานได้ง่าย หลักฐานคือการพบซากก้านธูปและไม้ขีดที่มีคนจุดทิ้งไว้อยู่เสมอ แต่ก็ยังมีไฟจากสาเหตุอื่น เช่น ล่าสัตว์ เผาเอาเห็ด ที่ชุมชนพยายามให้ความรู้กันในหมู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการจุดไฟในหน้าแล้ง
ฝุ่น PM 2.5 เป็นเพียงผลลัพธ์หนึ่งของ ‘ยุคไฟไหม้ป่า’ ยุคที่มนุษย์ทำให้โลกร้อน อากาศแล้งมากขึ้น ป่าเบญจพรรณแปรสภาพเป็นป่าเต็งรัง ตาน้ำตามธรรมชาติหายไปจนผืนดินแห้งผาก ไฟป่าจึงรุนแรงขึ้นทุกปี
“เมื่อก่อนต้นไม้ใหญ่แบบ 2 คนโอบมีเยอะกว่านี้ ยิ่งอยู่ในพื้นที่อุทยาน ไม่มีใครกล้าตัด แต่ระยะหลังไม้ใหญ่ล้มหายไปมากขึ้นเพราะเจอไฟทุกปี โดยเฉพาะไฟไหม้ครั้งใหญ่ พ.ศ. 2563” พ่อหลวงแจ้เล่าด้วยน้ำเสียงเสียดาย
ไหม้ไหม ไม่ไหม้!
พ่อหลวงแจ้เล่าว่าหมู่บ้านปงเหนือป้องกันไฟป่ามาได้ 5 ปีแล้ว แม้รอบดอยสุเทพยังเกิดไฟป่าอยู่ทุกปี เนื่องจากสมาชิกในชุมชนช่วยกันลงทุนลงแรง ลงตารางจัดการไฟอย่างเข้มแข็ง
‘ชุดดูไฟ’ จัดอาสาสมัครลาดตระเวนพื้นที่ในป่ากว่า 600 ไร่ เป็นกำลังเสริมร่วมกับหน่วยงานราชการที่อาจจะสะดวกตรวจตราแค่ในเวลาราชการ แต่ชาวบ้านรู้ทันมือเพลิงมากกว่า ปรับเปลี่ยนกะมาเป็นเวลา 12.00 – 21.00 น.
‘กล้องดูคน’ เมื่อคนเฝ้าป่า 24 ชั่วโมงไม่ได้ จึงเสริมด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิดตามต้นไม้ ซึ่งได้ผลดีชะงัด ชาวบ้านด้วยกันเองยังกลัวกล้อง ถึงขั้นต้องมารายงานตัวกับผู้ใหญ่บ้านก่อนเข้าป่า ยิ่งไปกว่านั้น กล้องยังจับภาพสัตว์นานาชนิด ทั้งหมูป่า ไก่ป่า นกยูง กลายเป็นข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของป่าเมืองเหนือ
‘มอเตอร์ไซค์วิบาก’ แม้จะพยายามป้องกันเพียงใด แต่ไฟไหม้ก็เกิดขึ้นได้อยู่ดี ทีมดับไฟจึงต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา เห็นจุดความร้อนขึ้นเมื่อใด ทีมควบมอเตอร์ไซค์วิบากบิดไต่ขึ้นดอยภายในระยะเวลาไม่กี่นาที เพื่อดับไฟก่อนจะลุกลามเกินควบคุม
และที่ขาดไม่ได้ คือการกำจัดเชื้อเพลิงตามธรรมชาติ
ชิงเผา เต่ากลิ้งลงดอย
‘กระบวนการชิงเผา’ ได้รับการยอมรับให้เป็นแนวทางหลักในการป้องกันไฟป่า ด้วยการจุดไฟเผาเชื้อเพลิงใบไม้ส่วนหนึ่งให้เบาบางลงก่อนที่ฤดูไฟป่าจะมาถึง การชิงเผาครั้งหนึ่งช่วยลดเชื้อเพลิงใบไม้ไปได้กว่า 70 – 80 เปอร์เซ็นต์ และใช้งบประมาณน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับการใช้บริการทีมดับเพลิง
อย่างไรก็ตาม การชิงเผาต้องทำภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด เริ่มจากการทำแนวกันไฟ เพื่อสร้างอาณาเขตให้ไฟลามไปตามจุดที่ต้องการ มีคนคอยดูแนวไฟอยู่ตลอดเวลา
“เราจะเผาไม่เกิน 8 ชั่วโมงและมีคนคุมตลอด จุดจากบนลงล่างให้ไฟวิ่งลงไปตีนดอย สัตว์ป่าจะได้วิ่งหนีลงไปด้านล่าง พอทำมาทุกปี มันจะรู้ว่าต้องวิ่งลงไปทางลำห้วย อย่างเต่ามันกลิ้งลงไปเองเลยนะ แปลกดี เวลาเจอเต่ามักจะเจอเป็นคู่ เหมือนมันช่วยกันผลักลงดอยเวลามีภัย” พ่อหลวงแจ้เล่า
ตอบแทนระบบนิเวศ
“แนวกันไฟทำไม่ยาก ขอแค่มีเงิน” พ่อหลวงบอกตามตรง
ก็ตามนั้น หากไม่มีเงิน จะเอาทรัพยากรต่าง ๆ มาจากไหน ทั้งอุปกรณ์ เครื่องเป่าใบไม้ ค่าน้ำมัน ค่าแรงชาวบ้าน ไปจนถึงค่าประกันความเสี่ยงในชีวิต
ทุกวันนี้บุคลากรอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ที่เป็นข้าราชการประจำมีเพียง 2 คน นอกนั้นกว่าร้อยชีวิตเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ไม่ได้รับสวัสดิการใด ๆ แต่ยังทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ไม่ได้เพียงแค่ต้องการค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่นี่คือการรักษาถิ่นฐานให้ยังอยู่ร่วมกับระบบนิเวศผืนนี้ได้
สุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบัน ChangeFusion ชายหนุ่มผู้ขึ้นดอยกับพ่อหลวงแจ้มาหลายรอบ อธิบาย ‘ธรรมชาติ’ ในมุมเศรษฐศาสตร์ให้เข้าใจง่ายขึ้น ด้วยการเปรียบเทียบว่าเป็น ‘โรงงานผลิตขนาดใหญ่’
“ระบบนิเวศคือผู้ให้บริการทางธรรมชาติที่มอบอาหาร อากาศ น้ำสะอาด ไปจนถึงประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้อย่างการเสริมสร้างจิตวิญญาณและสุนทรียภาพ แต่มนุษย์ไม่เคยมีวิธีตอบแทนกลับคืนไป นั่นเพียงเพราะเราจ่ายเงินให้ธรรมชาติโดยตรงไม่ได้”
สุนิตย์เฉลยต่อว่า “แต่เราจ่ายเงินให้กับผู้ที่คอยดูแลรักษาธรรมชาติได้”
กลไกจ่ายค่าตอบแทนนิเวศบริการ Payment for Ecosystem Services (PES) เป็นแนวทางที่มีมานานหลายสิบปีทั่วโลก โดยให้ผู้ได้รับประโยชน์สิ่งแวดล้อม จ่ายเงินหรือสนับสนุนทรัพยากรให้แก่ผู้ที่ดูแลระบบนิเวศ ซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดของตลาดคาร์บอนที่ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักร มองธรรมชาติในฐานะสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ บรรจุคำว่า Natural Capital ในกฎหมาย โดยกระทรวงการคลังกำหนดแนวทางและกลไกในการจัดสรรเงิน จากผู้ได้รับประโยชน์ไปสู่งานด้านการอนุรักษ์อย่างจริงจัง
นี่คือหัวใจของการมาเยือนหมู่บ้านปงเหนือในครั้งนี้ เพื่อมาหา ‘ผู้พิทักษ์ระบบนิเวศ’ ที่ทำงานเพื่อเราทุกคน แทนที่เราจะคาดหวังให้รัฐรับผิดชอบทุกอย่าง และอาจผิดหวังบ้างในบ้างที เราส่งการสนับสนุนให้โดยตรงอย่างต่อเนื่อง วัดผลได้ โดยมีตัวชี้วัดที่เป็นวิทยาศาสตร์ในแต่ละด้านของนิเวศบริการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกักเก็บคาร์บอน ความหลายหลายทางชีวภาพ การกักเก็บน้ำ รวมถึงผลลัพธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ
ตอนแทนคนดูแลป่า
การติดกล้องวงจรปิดบนต้นไม้ ก็เกิดขึ้นได้จากการระดมทุนผ่านโครงการ PES บวกกับงบวิจัยของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ช่วยแก้ข้อจำกัดของการเบิกงบราชการที่มักใช้ไม่ค่อยได้กับงานประเภทนี้
พ่อหลวงคิดว่าต้องใช้เงินปีละเท่าไหร่ – มีคนยกมือถาม
“ประมาณ 40,000 – 50,000 ครับ”
เงินจำนวนนี้กับภารกิจดูแลไฟป่าดอยสุเทพเพียงแค่ช่วงต้นปี แล้วเวลาที่เหลือทั้งปี ป่าต้นน้ำก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ สร้างน้ำสะอาดไหลผ่านเขื่อนผลิตไฟฟ้าให้คนทั้งประเทศ ผลิตอาหารให้คนอีกมหาศาล ฟอกอากาศบริสุทธิ์ให้ลูกหลานเราอีกเป็นร้อยปี ซึ่งใช้เงินน้อยกว่า คุ้มกว่าหลายเท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายของไฟป่าระดับแสนล้านบาท ทั้งต่อระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
พ่อหลวงคิดว่าจะใช้เงินนี้ไปอีกสักกี่ปี – มีคนถามต่อ
“อีกไม่นานหรอก ปีนี้ผมอายุ 44 แล้ว อีก 5 – 10 ปี ผมคงขี่มอเตอร์ไซค์วิบากขึ้นไปดับไฟไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ผมเลยกำลังแบ่งเงินมาสร้างป่าเปียก ทำน้ำฝอยด้วยระบบสปริงเกอร์ เมื่อป่ากลับมาชุ่มชื้นเพียงพอจนดับไฟด้วยตัวเองได้ ผมก็ไม่ต้องขึ้นไปแล้ว เด็ก ๆ ในหมู่บ้านเมื่อโตขึ้นก็ไม่ต้องเหนื่อยขึ้นไปดับไฟแล้วเหมือนกัน”
หากใครสนใจโครงการ ‘ชุมชนพิทักษ์ป่า Forest Guardians’
อ่านฉบับเต็ม : อ่านฉบับเต็มที่ Readthecloud Payment for Ecosystem Services บ้านปงเหนือ