กองทุนฟื้นฟูป่า (USA)
ประชาชนทั่วไปอาจไม่เห็นความเชื่อมโยงของการอนุรักษ์ป่ากับชีวิตประจำวันของตัวเองนัก จนกระทั่งฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากควันไฟป่ากระทบชีวิตและสุขภาพของคนเมือง ปัญหาไฟป่าจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ในขณะที่ทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกานั้นเกิดไฟป่าหลายล้านเอเคอร์ทุกปี ซึ่งกระทบชีวิตของประชาชนในวงกว้าง ทว่าหน่วยงานที่ดูแลด้านการป้องกันไฟและฟื้นฟูป่ากลับมีงบไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้กองทุนฟื้นฟูป่าจึงเกิดขึ้น เพื่อเพิ่มกระแสเงินทุนที่สนับสนุนการดูแลป่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งป้องกันไฟป่าและฟื้นฟู ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสุขภาพของคนเมืองจากฝุ่นพิษ และเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบนิเวศเพื่อรับมือกับสภาวะโลกร้อน
ปัญหาจากฝั่งของประชาชน
ฝุ่น 2.5 PM และสารระคายเคืองจากควันไฟป่า เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ทำให้คนเป็นโรคปอด เจ็บป่วยเรื้อรัง กระทบสุขภาพจิต และหลังจากช่วงที่มีควันไฟป่า จะมีฤดูกาลที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด คาดการณ์ว่าทวีปอเมริกาเหนือจะมีปัญหาฝุ่นควันเพิ่มขึ้นอีก 31% - 57% ซึ่งจะกระทบชีวิตชาวอเมริกันฟากตะวันตกกว่า 82 ล้านคน คิดเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจากเฉพาะฝุ่นควันไฟป่า ระยะสั้น 11-20 พันล้านดอลลาร์/ปี และระยะยาว 76-130 พันล้านดอลลาร์/ปี แทนที่จะจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล การลงทุนเพื่อป้องกันไฟป่า ฟื้นฟูป่าและรักษาระบบนิเวศ เป็นทางเลือกที่ใช้งบน้อยกว่าและดีต่อสุขภาพกว่าในระยะยาว
ปัญหาจากฝั่งของนักอนุรักษ์
งานด้านการอนุรักษ์ป่างบประมาณไม่เคยพอ เนื่องจากต้องมีทั้งค่าแรงงาน ค่าเชื้อเพลิง พาหนะ เครื่องจักร อะไหล่ และอุปกรณ์ต่างๆ และปัญหาต่อมาคือการขาดสภาพคล่อง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ การจ่ายเงินควรเป็นแบบ “จ่ายล่วงหน้า” หรือจ่ายให้ผู้รับเหมาภายใน 7-10 วัน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่ผู้รับเหมาต้องแบกรับภาระเครดิต และ “การจ่ายอย่างต่อเนื่อง” จะช่วยลดปัญหางานขาดตอน และนอกจากนี้ควรเป็น “สัญญาระยะยาว” เพราะงานด้านการอนุรักษ์ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล กองทุนฟื้นฟูป่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น และเป็นการจ้างงานในชุมชน และสืบทอดเจตนารมย์การอนุรักษ์ต่อไปยังคนรุ่นใหม่อีกด้วย
ดังนั้น กองทุนฟื้นฟูป่าคือทางออกในการแก้ทั้งปัญหาสุขภาพของคนเมือง ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาของชุมชนในพื้นที่ป่า แต่การจะจัดตั้งกองทุนนั้น จำเป็นจะต้องมีการประเมินผลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เห็นผลที่เป็นรูปธรรม จึงจะมีพลังในการดึงดูดนักลงทุน
แนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่าและฟื้นฟูป่า
1. ลด: การลดเชื้อเพลิง เช่น การตัดต้นไม้ออกบางส่วน การเผาป่าเพื่อลดเชื้อเพลิงและกันไฟลามไปตามบันไดเชื้อเพลิง เมื่อเกิดไฟป่าตามธรรมชาติ 2. เพิ่ม: การฟื้นฟูทุ่งหญ้า การฟื้นฟูป่าไม้แอสเพน (Aspen) การปลูกป่าไม้เนื้อแข็ง และการฟื้นฟูป่าไม้ ก็จะช่วยอนุรักษ์แหล่งน้ำและสัตว์ไปด้วย 3. การลงทุนกับห่วงโซ่คุณค่าจากป่าไม้ ตั้งแต่ การลาก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป และการนำผลิตภัณฑ์จากป่ามาใช้ประโยชน์ ซึ่งรวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชีวมวลจากป่า เช่น กิ่งไม้ ยอดไม้ ไม้ขนาดเล็ก และไม้ที่ตายแล้ว สามารถนำมาทำขายเป็นเชื้อเพลิง เพราะให้ราคาที่สูงกว่าชีวมวลทั่วไป การวางแผนใช้ประโยชน์จากป่านี้ จะสร้างศักยภาพของระบบ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการอนุรักษ์ป่า ในขณะเดียวกันก็ได้สนับสนุนงานในชุมชนไปด้วย
ตัวอย่างโครงการ
Blue Forest’s first Forest Resilience Bond (FRB)
โครงการ ยูบา 2 (Yuba II) จัดตั้งโดย: Blue Forest Asset Management (BFAM) สถานที่: ต้นน้ำยูบา ป่าทาโฮ ขนาด: 48,000 เอเคอร์ ปี: 2019-2022 (โครงการแรก Yuba I เริ่มปี 2018) ประเภทการลงทุน: การลงทุนทางสังคม เงินทุน: 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัญญาการลงทุน: การลงทุนมีกำหนดจ่ายคืนตามผลประกอบการ และตามต้นทุนที่ลดลงได้ ทั้งนี้นักลงทุนยอมรับได้หากผลประกอบการไม่เป็นดังคำชี้ชวน แหล่งทุน: กองทุนทางสังคม หน่วยงานรัฐ NGO และประชาชนทั่วไป 4 แหล่งทุนใหญ่: the Rockefeller Foundation, Gordon & Betty Moore Foundation, CSAA Insurance, and Calvert Impact Capital. และ Yuba Water, the World Resources Institute (WRI), the USDA Forest Service, and the National Forest Foundation (NFF) and the California Department of Fire and Forestry (CalFire)
ความสำคัญ เนื่องจากแม่น้ำยูบาทางเหนือเป็นต้นน้ำที่สำคัญ เป็นพื้นที่กสิกรรม และท่องเที่ยวที่สำคัญ น้ำจากยูบายังใช้ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และที่สำคัญอย่างยิ่งบริเวณโดยรอบเป็นถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองอินเดียนแดงที่อยู่กันมาตั้งแต่ยังไม่ก่อตั้งประเทศ ดังนั้นโครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ป่าและแหล่งน้ำ แต่ยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับชาวอเมริกันพื้นเมืองเผ่าต่างๆ อีกด้วย โดยเน้นการจ้างงานชุมชนให้พวกเขาอนุรักษ์บ้านของพวกเขาเอง
แนวทางการอนุรักษ์ป่าทาโฮได้แก่ การลดเชื้อเพลิงที่จะทำให้ไฟป่าลุกลาม ได้แก่การตัดไม้และการวางแผนเผาป่าเพื่อลดเชื้อเพลิงและบันไดไฟลาม นอกจากนี้ยังทำการอนุรักษ์ทุ่งหญ้า และฟื้นฟูป่าแอสเพน ซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้ป่าแห่งนี้มีความต้านทานไฟป่าได้ ช่วยอนุรักษ์แหล่งน้ำ รักษาคุณภาพน้ำ และปรับปรุงความหลากหลายทางชีวภาพ ไปพร้อมๆ กัน
โครงการเริ่มปี 2019 ผลทางสิ่งแวดล้อมนี้เป็นข้อมูลปี 2021 โดยเป้าหมายแล้วเสร็จปี 2022 จากเงินทุน $4 ล้าน จนถึงปี 2021 ใช้งบประมาณไป $2,105,000
ประโยชน์ทางสังคมสิ่งแวดล้อม วัดเป็นพื้นที่ ลดความเสี่ยงไฟป่า 1,078 เอเคอร์ (เป้า 1,630 เอเคอร์) ซึ่งปกป้อง 4 ชุมชนในละแวก ฟื้นคืนระบบนิเวศบก 2,036 เอเคอร์ (เป้า 4,849 เอเคอร์) ปกป้องป่า 6,107 เอเคอร์ (เป้า 14,545 เอเคอร์) การใช้ประโยชน์จากชีวมวล 51,163 ตัน (เป้า 54,164 ตัน) การจัดการสายพันธุ์รุกราน 89 เอเคอร์ ตรงเป้าหมาย การฟื้นฟูทุ่งหญ้า 162 เอเคอร์ (เป้า 395 เอเคอร์) การฟื้นฟูป่าต้นแอสเพน 206 เอเคอร์ (เป้า 225 เอเคอร์) ลดคาร์บอนจากไฟป่า 20,762 เอเคอร์ (เป้า 49,453 เอเคอร์) อนุรักษ์น้ำ 21,007 เอเคอร์ฟุต (เป้า 50,035 เอเคอร์ฟุต) อนุรักษ์น้ำเพื่อผลิตเป็นไฟฟ้า 29,15 เอเคอร์ฟุต (เป้า 69,348 เอเคอร์ฟุต) สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน สร้างงาน 42 จาก 79 งาน ซึ่งเป็นการจ้างงานชุมชนกว่า 200 คน เพิ่มพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจทางธรรมชาติเกิน 20 ไมล์
ข้อเสนอแนะการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูป่าในประเทศไทย
ความแตกต่างของปัญหาระหว่างป่าไม้ไทยและอเมริกันก็คือ สาเหตุของไฟป่า ที่อเมริกาไฟป่าจำนวนมากเกิดตามธรรมชาติ ในขณะที่ไฟป่าในประเทศไทยส่วนมากเกิดจากฝีมือมนุษย์ เช่น การเผาป่าเพื่อการเกษตร การทิ้งบุหรี่ หรือการจุดกองฟืนแล้วลุกลามเป็นไฟป่า ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุย่อมดีที่สุด แต่ปัญหานี้แก้ยาก เพราะพื้นที่ป่ากว้างใหญ่ การจับกุมผู้กระทำผิดแทบจะเป็นไปไม่ได้ ส่วนที่ทำได้คือการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกไม่จุดไฟในป่า และต้องดับไฟให้สนิททุกครั้ง
แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันไฟป่าลุกลาม เพื่อจำกัดวงปัญหา ด้วยการลดเชื้อเพลิง ซึ่งแนวทางที่นานาประเทศใช้ เช่น การวางแผนตัดไม้ วางแผนเผาป่าเพื่อลดเชื้อเพลิง ลดบันไดไฟลาม ยังคงเป็นวิธีที่ลดความรุนแรงของไฟป่าได้จริง นอกจากนี้การสร้างงานในชุมชน ในการดูแลป่า จะช่วยเปลี่ยนจากผู้ที่สร้างไฟป่า มาเป็นผู้อนุรักษ์แทน